วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ส่วนประสมหลักของไอศครีมกะทิสด

ในประเทศไทยนั้น ไอศกรีมเริ่มเข้ามาในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมตะวันตกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำมาเผยแพร่ในสยาม หลังเสร็จประพาสอินเดีย, ชวาและสิงคโปร์ น้ำแข็งในตอนแรก ๆ ก็ยังไม่สามารถผลิตในประเทศได้ จึงต้องนำเข้าจากประเทศสิงคโปร์ เมื่อไทยสั่งเครื่องทำน้ำแข็งเข้ามาก็เริ่มมีการทำไอศกรีมกินกันมากขึ้น ถือว่าไอศกรีมเป็นของเสวยเฉพาะสำหรับเจ้าขุนมูลนายเท่านั้น ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพบันทึกไว้ว่า
ไอศกรีมเป็นของที่วิเศษในเวลานั้น เพราะเพิ่งได้เครื่องทำน้ำแข็งอย่างเล็กที่เขาทำกันตามบ้านเข้ามา ทำบางวันน้ำก็แข็งบางวันก็ไม่แข็ง มีไอศกรีมบ้างบางวันก็ไม่มี จึงเห็นเป็นของวิเศษ
โดยไอศกรีมในพระราชวังนั้นจะทำจากน้ำมะพร้าวอ่อน ใส่เม็ดมะขามคั่ว จนต่อมาเมื่อมีโรงงานทำน้ำแข็ง แต่ก็ยังถือเป็นของชั้นดี โดยมีไอศกรีมระดับชาวบ้านทำเองด้วย ในช่วงแรก ๆ นั้นไอศกรีมกะทิมีลักษณะเป็นน้ำแข็งละเอียดใส ๆ รสหวานไม่มาก และมีกลิ่นหอมของดอกนมแมว ในสมัยนั้นวิถีการกินของผู้คนจะนิยมกินอาหารกันในเรือนแพ เหมือนที่สมัยนั้นจะขายก๋วยเตี๋ยว หรือกาแฟกันบนเรือ
ลักษณะของไอศกรีมกะทิใส่ถ้วยพร้อมโรยด้วยถั่วลิสงคั่วก็มีมาตั้งแต่สมัยนั้น ซึ่งต่อมาไอศกรีมกะทิก็มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาขึ้น จากกะทิใส ๆ ก็มีความเข้มข้น มีการใส่ลอดช่อง, เม็ดแมงลัก และขนุนฉีกเข้าไป โดยคนไทยได้ดัดแปลงไอศกรีมของต่างชาติมาเป็นไอติมกะทิ โดยใช้กะทิสดผสมกับน้ำตาลนำไปปั่นให้แข็ง เนื้อไอติมค่อนข้างใสเป็นเกล็ดน้ำแข็งละเอียด เวลารับประทานต้องขูดไอติมออกจากขอบหม้อโลหะเมื่อไอติมเริ่มแข็งตัว ตอนขายตักใส่ถ้วยเป็นลูก ๆ เรียกไอติมตัก กินกับถั่ว ข้าวเหนียว หรือลูกชิด บางคนกินกับขนมปังที่หั่นเป็นท่อน และมีรอยแยกเป็นร่องอยู่ตรงกลาง
ส่วน ไอศกรีมหลอด หรือไอศกรีมแท่งก็เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 โดยใช้น้ำหวานใส่หลอดสังกะสีและเขย่าให้แข็ง และมีก้านไม้เสียบ โดยจะใส่ถังขับไปขายตามถนน สั่นกระดิ่งเป็นสัญญาณเพื่อเรียกลูกค้า นอกจากนี้ยังมีจุดขายที่การลุ้นไอศกรีมฟรีจากไม้เสียบที่หากมีสีแดงป้ายอยู่ก็จะได้กินฟรีอีกหนึ่งแท่งด้วย ซึ่งไอศกรีมแบบหลอดก็มีการพัฒนาจนมาเป็นไอศกรีมโบราณที่มีส่วนผสมของนมโดยมีลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยม อาจทานเป็นแท่ง หรือตัดใส่ถ้วยรับประทานก็ได้
จากนั้นมาก็เป็นยุคของไอศกรีมแบบวัฒนธรรมตะวันตกแท้ ๆ จนถึงปัจจุบัน

ข้อดี ของ ไอศกรีม

ข้อดีของไอศกรีม
ประโยชน์ของไอศกรีมที่ประกอบไปด้วยส่วนผสมที่ให้พลังงานและคุณค่าทางโภชนาการ เช่น โปรตีน และประโยชน์ของไอศกรีมที่มีผลต่ออารมณ์ที่ช่วยสร้างความสุขเมื่อรับประทานโภชนาการ ซึ่งส่วนผสมหลักในไอศกรีมคือ นม ที่อุดมด้วยโปรตีน อันเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไอศกรีมที่มีนมเป็นส่วนผสมไอศกรีมแคลเซียมสูง    ได้ออกผลิตภัณฑ์ในรูปแบบใหม่เพื่อเป็นทางเลือกในการบริโภคแคลเซียมของเด็กไทย โดยปริมาณแคลเซียมที่อยู่ในไอศกรีม นั้นสามารถเปรียบเทียบได้กับปริมาณแคลเซียมในนม 1 แก้วซึ่งสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ให้ลูกรับประทานนมวันละ 2 แก้วอยู่แล้ว ไอศกรีมแคลเซียมสูง จะเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่อยากจะหาแรงจูงใจให้ลูกน้อยหันมากินนมแก้วที่ 3 ซึ่งเป็นการกินพร้อมไปกับไอศกรีมที่มีรสชาติอร่อยถูกใจเด็กๆ
แนะนำให้กินไอศกรีมกะทิแทนมื้อเที่ยงสักอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ข้อดีคือ ไอศกรีมดับกระหายได้ดีกว่าน้ำในหน้าร้อน เพราะมีน้ำซึ่งจับตัวเป็นน้ำแข็งอยู่ร้อยละ 65-70 แถมมีแคลอรีน้อยกว่าน้ำอัดลมด้วย และประการสุดท้าย ไอศกรีมนั้นเปรียบได้กับดนตรี เพราะสถานบันจิตวิทยาในลอนดอนบอกว่า ไอศกรีมช่วยลดความเครียดได้ประหนึ่งดนตรีที่ช่วยลดอุณหภูมิและทำให้เคลิบเคลิ้ม รู้อย่างนี้แล้วจะได้ลิ้มรสไอศกรีมกันอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกลัวอ้วนกัน




สัมภาษณ์ เจ้าของธุรกิจไอศกรีมกะทิ









ไอศกรีมกะทิ Coconut Milk Ice Cream





ร้อนๆ แบบนี้มาหาอะไรคลายร้อนกันดีกว่าคะ

วันนี้เราจะมาสอนวิธีทำไอศครีมกะทิ(โบราณ) นะคะ 
       
ตอนนี้ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็เจอแต่ไอร้อนที่พวยพุ่งขึ้นจากพื้นดิน ยังนับไม่รวมแสงแดดในช่วงกลางวันที่ร้อนจนทำให้หลาย ๆ คน แทบจะเป็นลมกันเลยทีเดียว วันนี้เราเลยมีเมนูไอศกรีมเย็น ๆ รสชาติกลมกล่อมแบบไทย ๆ มาฝากกัน นั่นคือ ไอศกรีมกะทิสูตรโบราณ ซึ่งสูตรนี้ไม่ต้องใส่นม หรือใส่ครีม ก็อร่อยล้ำ เย็นฉ่ำ ชื่นใจกันได้ง่าย ๆ แต่ก่อนอื่นต้องขอที่นำวิธีทำสุดแสนจะง่ายนี้มาแบ่งปันกัน ....เอาล่ะ อย่ารอช้า เรามาดูขั้นตอนการทำไอศกรีมกะทิกันเลยดีกว่า 

 มาดูส่วนผสมกันก่อนเลยคะ

ส่วนผสม
          1. กะทิกล่อง หรือกะทิกระป๋องสูตรเข้มข้น ขนาด 560 มิลลิลิตร    
          2. น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
          3. เกลือ ¾ ช้อนชา
          4. ไข่ไก่ 1 ฟอง
          5. เนื้อมะพร้าวอ่อนขูดเป็นเส้น (มีหรือไม่มีก็ได้)

วิธีทำ

          1. เทกะทิทั้งหมด ผสมกับน้ำเปล่า 2 ถ้วย หรือถ้ามีน้ำมะพร้าว ก็ให้ใช้น้ำมะพร้าว กับน้ำเปล่าอย่างละ 1 ถ้วย เพื่อเพิ่มความหอมหวานของกะทิมากขึ้น  
          2. นำกะทิไปตั้งไฟ แล้วค่อย ๆ เทน้ำตาลทรายผสมลงไป จากนั้นคนให้เข้ากันจนกะทิเดือด 
          3. นำกะทิมาพักให้เย็น จากนั้นเทใส่ภาชนะที่เหมาะกับการแช่เย็น

4. นำภาชนะดังกล่าวไปแช่ในช่องแข็ง จนกะทิเริ่มแข็งตัว 
          5. ในการแช่กะทิ ให้สังเกตุว่ากะทิเริ่มเป็นเกล็ดหรือยัง หากเริ่มเย็นจนเป็นเกล็ดแล้ว สามารถนำออกจากตู้เย็น โดยไม่ต้องรอให้กลายเป็นน้ำแข็ง ซึ่งขั้นตอนนี้อาจใช้เวลานานพอสมควร
          6.นำกะทิดังกล่าวมาปั่น หากไม่มีเครื่องปั่นสำหรับทำไอศกรีม สามารถใช้เครื่องปั่นน้ำผลไม้ธรรมดาแทนได้ค่ะ


ปั่นครั้งที่ 1

          นำกะทิใส่เครื่องปั่น และปั่นจนกว่าเนื้อไอศครีมจะละเอียด จากนั้นนำไปแช่ในช่องแข็งอีกรอบ

ปั่นครั้งที่ 2
          เมื่อเนื้อไอครีมที่ปั่นรอบแรกเริ่มเป็นน้ำแข็ง ก็ให้นำออกมาปั่นใหม่อีกครั้ง โดยคราวนี้ให้ใส่ไข่ขาวลงไป 1 ฟอง เมื่อเครื่องปั่นตีกะทิกับไข่ขาวจนเข้ากันแล้ว จะเห็นว่าเนื้อไอศครีมขาว และฟูขึ้น จากนั้นจึงนำไปแช่ในช่องแข็งอีกรอบ
ปั่นครั้งที่ 3
          นำไอศกรีมที่แช่จนเป็นเกร็ดแล้วมาปั่นอีกรอบ เพื่อให้เนื้อไอศกรีมเนียนฟูมากยิ่งขึ้น หากใครชอบทานไอศกรีมกะทิ แบบมีเนื้อมะพร้าวด้วย ให้นำเนื้อมะพร้าวอ่อนที่เราขูดไว้ มาผสมกับไอศกรีมกะทิที่ปั่นในรอบที่สาม แต่ในครั้งนี้ควรปั่นเพียงเล็กน้อยพอให้เนื้อมะพร้าวเข้ากันค่ะ หรือจะปั่นรอบที่สามให้เสร็จก่อน แล้วค่อยใส่เนื้อมะพร้าวแล้วปั่นอีกนิดก็ได้ค่ะ


เพียงแค่นี้ เราก็จะได้ไอศกรีมกะทิแสนอร่อย เอาไว้ทานเพื่อคลายร้อนกันแล้วล่ะ...อ้อ เคล็ดลับความอร่อยของไอศกรีมกะทิจะอยู่ที่การปั่นเนื้อไอศกรีมให้ละเอียด ยิ่งปั่นหลายรอบ เนื้อไอศกรีมก็จะยิ่งเนียนฟูมากขึ้น แต่วิธีที่เรานำมาฝากนี้จะเป็นแบบเร่งรัดจ้า

          ใครลองนำสูตรนี้ไปทำแล้วได้ผลอย่างไรบ้าง อย่าลืมแวะมาคุยกันบ้างนะจ๊ะ ขอให้ทุกคนอร่อยกับไอศกรีมกะทิสูตรโบราณจ้า


1 ความคิดเห็น: